วันเสาร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2561

สลัดแก้วญี่ปุ่น ซาลีนาส (Salinas Lettuce)


สลัดแก้วญี่ปุ่น "ซาลีนาส" จากบริษัท Sakata Seed co.jp.  โดยสลัด  "ซาลีนาส" เป็นผักสลัดในกลุ่ม "Crisphead Lettuce" หรือสลัดแบบห่อหัว  ซึ่งโดยปกติแล้วเป็นที่ทราบกันดีว่าสลัดประเภทนี้จะปลูกให้ห่อหัวได้ต้องอาศัยอุณหภูมิในการปลูกที่ค่อนข้างต่ำ คือเฉลี่ยประมาณ 10-25 องศา C  ซึ่งข้อจำกัดนี้ทำให้มีปัญหามากสำหรับผู้ที่ปลูกในพื้นที่ๆ มีอากาศร้อนแบบประเทศไทย

จากที่ทางเซนฯ ได้ทำการทดลอง ปลูกสลัด "ซาลีนาส" เมื่อช่วงฤดูร้อน ปี พ.ศ. 2561 ในแปลงปลูก DRFT รุ่น 45 ช่องปลูก (อุณหภูมิของอากาศเฉลี่ยอยู่ที่ 35 - 40 องศา C.) ใช้ EC อยู่ที่ 1.1 - 1.4 ms/cm. ผลปรากฎว่าสลัดแก้ว ซาลีนาส ยังคงสามารถเจริญเติบโตได้เป็นปกติ  และใบเริ่มห่อหัวเมื่ออายุได้ประมาณ 35 วัน ในภาพด้านล่างสลัดมีอายุได้ประมาณ 45 วันนับจากวันเพาะเมล็ด ซึ่งโดยปกติเป็นที่ทราบกันดีว่าอุณภูมิสูงขนาดนี้สลัดแก้วไม่สามารถห่อหัวได้ และมักจะพบอาการทิปเบรินส์ให้เห็นที่ยอดอ่อน แต่สลัดแก้วซาลีนาส ที่ทางเซนฯ ทดลองนี้ไม่ประสบปัญหาดังกล่าวเลย ถึงแม้การห่อหัวอาจจะไม่แน่นหรือเทียบเท่ากับการปลูกในพื้นที่มีอุณหภูมิต่ำ แต่โดยรวมแล้วสลัดสายพันธุ์นี้เหมาะเป็นอย่างมากสำหรับการปลูกในพื้นที่ๆมีข้อจำกัดในเรื่องของอุณหภูมิของอากาศที่สูงอย่างประเทศไทย















ตัวอย่างการกำหนดค่า EC สำหรับผักสลัดแก้วญี่ปุ่น ซาลีนาส (ในพื้นที่อากาศร้อน)

1. หลังเพาะเมล็ดได้ประมาณ 7-10 วัน เริ่มให้ปุ๋ยอ่อนๆ โดยให้ค่า EC ประมาณ 1.0 - 1.1 ms/cm


2. เมื่อครบกำหนด 10 - 14 วัน หรือต้นเกล้าเริ่มมีใบจริงประมาณ 2 - 3 ใบ ก็สามารถย้ายลงแปลงปลูกได้เลย โดยกำหนดค่า EC สำหรับผักสลัดในช่วงนี้ อยู่ที่ประมาณ 1.1 - 1.3 ms/cm


3. ช่วงผักมีอายุได้ประมาณ 15 - 25 วัน ให้กำหนดค่า EC สำหรับผักสลัดในช่วงนี้ อยู่ที่ประมาณ 1.3 - 1.4 ms/cm 

และควรฉีดพ่น แคลเซียม และโบรอน สัปดาห์ละ 1 - 2 ครั้ง เพื่อป้องกันอาการปลายใบไหม้ (Tip burn)


4. ช่วงผักมีอายุได้ประมาณ 26 - 30  วัน ให้กำหนดค่า EC สำหรับผักสลัดในช่วงนี้ อยู่ที่ประมาณ 1.2 - 1.3 ms/cm 

และควรฉีดพ่น แคลเซียม และโบรอน สัปดาห์ละ 1 - 2 ครั้ง เพื่อป้องกันอาการปลายใบไหม้ (Tip burn)


6. เมื่อผักมีอายุได้ประมาณ 31 - 35  วัน ให้กำหนดค่า EC สำหรับผักสลัดในช่วงนี้ อยู่ที่ประมาณ 1.1 - 1.2 ms/cm 

และควรฉีดพ่น แคลเซียม และโบรอน สัปดาห์ละ 1 - 2 ครั้ง


7.เมื่อผักมีอายุได้ประมาณ 36 - 45  วัน ให้กำหนดค่า EC สำหรับผักสลัดในช่วงนี้ อยู่ที่ประมาณ 1.0 - 1.1 ms/cm 

และควรฉีดพ่น แคลเซียม และโบรอน สัปดาห์ละ 1 - 2 ครั้ง


8.เมื่อผักมีอายุได้ประมาณ 45 - 55  วัน ให้กำหนดค่า EC สำหรับผักสลัดในช่วงนี้ อยู่ต่ำกว่า 0.5 ms/cm 
หรือจะใช้น้ำเปล่าเลี้ยงประมาณ 3 วัน ก่อนเก็บเกี่ยวก็ได้ครับ

ข้อแนะนำในการปลูก

1. หลังเพาะเมล็ดได้ประมาณ 2 - 3 วัน แนะนำให้นำต้นเกล้าได้รับแสงแดดตอนเช้าหรือเย็นประมาณ 3 - 4 ชั่วโมง/วัน เพื่อให้ต้นเกล้าไม่ยืดและแข็งแรงมากขึ้น

2. ในพื้นที่อากาศร้อนเมื่อผักสลัดมีอายุปลูกได้ประมาณ 20 วัน มักมีอาการขอบใบไหม้ แนะนำให้ปรับค่า EC ให้ต่ำและให้ลดการคายน้ำทางใบของพืชลง ด้วยการพลางแสง หรือเสปรย์น้ำเพื่อลดอุณหภูมิและเพิ่มความชื้นในอากาศ และควรมีการฉีดพ่น ธาตุแคลเซียม-โบรอน เสริมทางใบเพื่อป้องกันอาการขอบใบไหม้

3. ศัตรูพืชที่สำคัญของ ผักสลัด คือ เพลี้ยไฟ และหนอนใยผัก แนะนำให้ฉีดพ่นสารสกัดจากธรรมชาติเพื่อป้องกัน และกำจัด ควรหลีกเลี่ยงสารเคมีจำกัดศัตรูพืช เนื่องจากสลัดเป็นพืชอายุสั้นและต้องบริโภคส่วนที่เป็นใบจึงอาจเป็นอัตรายต่อผู้บริโภคได้

4. การปลูกสลัดแนะนำให้เปลี่ยนน้ำผสมธาตุอาหารใหม่ในช่วงที่ผัก อายุได้ 28 วัน (หรืออายุผัก 4 สัปดาห์) โดยลดปริมาณการใช้ปุ๋ย A,B ลงทุกๆ ช่วงอายุปลูก ข้อดีของการลดการปลูกสลัดโดยใช้ EC สูง ไปหาต่ำมีข้อดีคือ
4.1 ประหยัดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการใช้ธาตุอาหาร
4.2 เพื่อป้องกันการเกิด Tip burn โดยเฉพาะผักที่เกิดอาการดังกล่าวได้ง่ายเช่น ผักในกลุ่มคอส, บัตเตอร์เฮด และผักกาดแก้ว
4.3 ช่วยให้ผักเจริญเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
4.4 ทำให้ผักสลัดที่ปลูกไม่มีรสขม หรือมีความขมลดลงในช่วงฤดูร้อน 

5.แนะนำให้เปลี่ยนน้ำผสมปุ๋ยใหม่เมื่อผักมีอายุได้ประมาณ 25 วัน

หมายเหตุ  ผักสลัดเป็นพืชทานใบที่มีอายุปลูกสั้น การใช้ปุ๋ยในระดับสูงเกิน 1.5 ms/cm หลังจากผักอายุได้ 30 วันไม่ได้เกิดประโยชน์ใดกับผักสลัดเลย กลับทำให้ผักมีอาการขาดธาตุแคลเซียม (Tipburn) มากขึ้นเพราะเพื่อความเข้มข้นของธาตุอาหารในระบบมีสูงเกินไป  ช่วงเวลาที่ผักสลัดสะสมอาหารมากที่สุดคือช่วงที่ผักมีอายุได้ประมาณ 10 - 30 วันแรก ซึ่งหลังอายุ 30 วันไปแล้วผักสลัดจะใช้ปุ๋ยน้อยลง ส่วนที่ผักสลัดต้องการมากที่สุดคือ น้ำ