เมล็ดพันธุ์ผักที่มีจำหน่ายกันอยู่ในท้องตลาดแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
1. เมล็ดแบบไม่เคลือบ
เมล็ดประเภทนี้จะผ่านการลดความชื้นมาแล้ว สามารถเก็บรักษาในภาชนะที่ปิดสนิทในตู้เย็น (อุณหภูมิ 4 - 10 องศา C) ได้นาน ประมาณ 1 - 2 ปี ข้อดีของเมล็ดแบบไม่เคลือบคือมีราคาถูกกว่าเมล็ดแบบเคลือบค่อนข้างมาก การเพาะเมล็ดแบบไม่เคลือบนี้แนะนำให้กระตุ้นการงอกโดยใช้กล่องถนอมอาหารที่มีฝาปิดสนิท รองด้านในด้วยกระดาษชำระประมาณ 2 ชั้นแล้วพรมน้ำให้กระดาษเปียก และเทน้ำออก จากนั้นให้นำเมล็ดสลัดมาโรยลงบนกระดาษชำระ โดยไม่ต้องพรมน้ำซ้ำ แล้วปิดฝากล่องให้สนิท (แนะนำให้นำไปวางไว้ในที่มีอุณหภูมิต่ำ เช่น ห้องปรับอากาศ) ประมาณ 24 - 48 ชั่วโมงเมล็ดจะเริ่มงอกให้ย้ายลงวัสดุปลูกได้เลยครับ อย่าปล่อยให้เกิน 72 ชั่วโมง (3 วัน) เพราะรากผักสลัดจะยาวเร็วมากและทำให้ย้ายปลูกได้ยาก การกระตุ้นการงอกด้วยวิธีนี้จะทำให้เมล็ดที่เราเพาะมีเปอร์เซ็นต์การงอกและความสม่ำเสมอของการงอกสูงขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงจากเชื้อโรคที่จะเข้าทำลายเมล็ดจากการเพาะเมล็ดลงวัสดุปลูกโดยตรง ให้ผักที่ปลูกมีความสม่ำเสมอของต้นที่เท่ากัน มากกว่าการเพาะลงในวัสดุปลูกโดยตรง เนื่องจากการเพาะลงวัสดุปลูกโดยตรงนั้นเมล็ดสลัดมีความเสี่ยงที่จะถูกทำลายโดยเชื้อโรคหรือแมลง อีกทั้งผู้ปลูกยังควบคุมปัจจัยการงอกของเมล็ดได้ยากกว่าด้วย
เมล็ดชนิดนี้จะถูกคัดเลือกมาจากเมล็ดที่สมบูรณ์ แล้วนำมาเคลือบด้วยแป้งหรือดินเหนียว (Pelleted
seed) เพื่อเป็นการรักษาสภาพของเมล็ดเอาไว้ ข้อดีของการใช้เมล็ดแบบเคลือบก็คือ สะดวกในการเพาะเมล็ดเนื่องจากขนาดที่ใหญ่ขึ้น วัสดุที่หุ้มเมล็ดยังช่วยนำพาความชื้นสู่เมล็ดได้อย่างทั่วถึงทั้งเมล็ด ช่วยลดความเสี่ยงจากปัจจัยการงอกที่ไม่สม่ำเสมอของการเพาะเมล็ดลงได้ ส่วนข้อเสียของเมล็ดแบบเคลือบนี้คือ มีราคาแพง เนื่องจากเมล็ดแบบเคลือบจะเป็นสินค้าที่ถูกผูกขาดจากบริษัทผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์จากยุโรป ปกติผู้ปลูกหลายท่านมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์สลัดว่า เมล็ดแบบเคลือบจะมีอัตราการงอกดีกว่าแบบไม่เคลือบ ซึ่งจริงๆ แล้วอัตราการงอกของเมล็ดทั้ง 2 แบบไม่ต่างกันเลย ซึ่งมีบ่อยครั้งที่มักพบปัญหาในการเพาะเมล็ด ถ้าปัจจัยการงอกไม่สมบูรณ์ กล่าวคือการเพาะเมล็ดแบบเคลือบหากฝังเมล็ดในวัสดุปลูกลึกเกินไปก็ทำให้เมล็ดเน่า หรือถ้าหากฝังตื้นเกินไปก็ทำให้เมล็ดได้ความชื้นไม่เพียงพอก็ทำให้ไม่งอกเช่นกัน เมล็ดแบบเคลือบปกติจะเหมาะกับการนำไปเพาะกับวัสดุเพาะเกล้าพวกพีทมอส หรือเพอร์ไลท์ มากกว่าการนำไปเพาะลงฟองน้ำเนื่องจากปัจจัยหนึ่งที่สำคัญต่อการงอกของเมล็ดสลัดคือ "อ๊อกซิเจน" ด้วยการเพาะเมล็ดลงในฟองน้ำโดยตรงปัญหาที่พบคือเมล็ดไม่งอก หรืองอกไม่พร้อมกัน สาเหตุก็มาจากการที่เมล็ดสลัดจะถูกบีบอยู่ในฟองน้ำที่เปียกและแฉะ บวกกับถ้าช่วงที่เพาะถ้ามีอุณหภูมิของอากาศสูง (ร้อนอบอ้าว) เมล็ดสลัดที่เพาะนั้นก็มีความเสี่ยงสูงที่จะไม่งอกเนื่องจากขาดอ๊อกซิเจนและมักจะมีเชื้อราเกิดขึ้นที่เมล็ดได้ง่าย
ส่วนข้อเสียอีกประการของเมล็ดแบบเคลือบโดยส่วนใหญ่จะเป็นพันธุ์ลูกผสม หรือ Hybrid F1 ทำให้ต้นทุนการผลิตเมล็ดเคลือบจะสูงกว่าเมล็ดแบบไม่เคลือบ และเมล็ดแบบเคลือบนี้จะมีชนิดและสายพันธุ์ของผักสลัดให้เลือกค่อนข้างน้อยกว่าแบบไม่เคลือบมาก
ส่วนข้อเสียอีกประการของเมล็ดแบบเคลือบโดยส่วนใหญ่จะเป็นพันธุ์ลูกผสม หรือ Hybrid F1 ทำให้ต้นทุนการผลิตเมล็ดเคลือบจะสูงกว่าเมล็ดแบบไม่เคลือบ และเมล็ดแบบเคลือบนี้จะมีชนิดและสายพันธุ์ของผักสลัดให้เลือกค่อนข้างน้อยกว่าแบบไม่เคลือบมาก
สรุป การเลือกใช้เมล็ดพันธุ์แต่ละชนิด จึงควรเลือกให้เหมาะกับเรามากที่สุด คือหากเราปลูกเพื่อรับประทานเอง, ทำเป็นสลัดมิกส์ หรือใช้จำหน่ายเพื่อลดต้นทุนค่าเมล็ดพันธุ์ ก็แนะนำให้เลือกใช้เมล็ดแบบไม่เคลือบก็พอเนื่องจากเก็บได้นาน, ราคาถูก มีหลากหลายสายพันธุ์ให้เลือก แต่หากต้องการปลูกเพื่อเป็นการค้าและต้องปลูกเป็นจำนวนมากเพื่อลดขั้นตอนการเพาะเมล็ดก็สามารถเลือกใช้เมล็ดแบบเคลือบแทนก็ได้ แต่ทั้งนี้ผักที่ปลูกจะมีคุณภาพทั้งทางด้านรูปลักษณ์, สีสรร รวมถึงน้ำหนัก จะดีหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ และปัจจัยอื่นๆ ในการปลูก การดูแลพืชนั้นประกอบด้วยเป็นสำคัญ
เมล็ดพันธุ์ผักทุกชนิดที่เรานำมาเพาะต้องอาศัยปัจจัยในการทำให้เมล็ดงอกเป็นต้นอ่อน คือ น้ำ, อุณหภูมิ, ออกซิเจน และสำหรับพืชบางชนิดอาจต้องใช้แสงช่วยในการกระตุ้นการงอกด้วย ตัวอย่างในประเทศญี่ปุ่นได้มีการใช้แสงสีแดงช่วยกระตุ้นการงอกของเมล็ด และใช้แสงสีน้ำเงินช่วยในการเจริญเติบโตของต้นพืชด้วย
โดยทั่วไปอุณหภูมิที่เหมาะสมและดีที่สุดในการเพาะเมล็ดสลัด จะอยู่ในช่วง 18 - 25 องศาเซลเซียส ปัญหาที่สำคัญในการเพาะเมล็ด คืออากาศของเมืองไทยค่อนข้างร้อน ซึ่งมีผลทำให้การงอกของเมล็ดเป็นไปได้ช้า และมีเปอร์เซ็นต์งอกต่ำ เนื่องจากขณะที่เมล็ดได้รับความชื้นจากน้ำ เมล็ดจะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงทางเคมีในตัวเมล็ด ในกระบวนการงอกนั้นเมล็ดต้องการอ๊อกซิเจนช่วยในกระบวนการดังกล่าวนี้ หากอุณหภูมิสูงจะทำให้อ๊อกซิเจนต่ำ บวกกับถ้าวัสดุปลูกแฉะมากเกินไป ทำให้เมล็ดมีโอกาสเสี่ยงกับการขาดอ๊อกซิเจน และเชื้อราเข้าทำลายได้ง่าย ดังนั้นการเพาะเมล็ดสลัดอย่าให้วัสดุที่ปลูกเปียกชื้นมากเกินไป วิธีที่จะช่วยให้เพาะเมล็ดให้มีอัตราการงอกสูงขึ้นได้นั้น แนะนำให้เพาะเมล็ดในช่วงเย็นหรือช่วงกลางคืน เนื่องจากช่วงเวลาดังกล่าวสภาพอากาศมีอุณหภูมิต่ำซึ่งเป็นผลดีต่อการงอกของเมล็ดสลัด
ตารางความสัมพันธ์ของอุณหภูมิที่มีผลต่อการงอกของเมล็ด
ตัวเลขนอกวงเล็บคือ % ในการงอกของเมล็ด, ตัวเลขในวงเล็บคือ จำนวนวันที่ใช้ในการงอก
สรุป จากตางรางด้านบนจะเห็นได้ว่าอุณหภูมิมีผลเป็นอย่างมากต่อระยะเวลาและเปอร์เซ็นต์ในการงอกของเมล็ดพืชแต่ละชนิด ตัวเลขสีแดงคือค่าเปอร์เซ็นต์การงอกของเมล็ดพืชที่ดีที่สุดในอุณหภูมินั้นๆ เช่น
- สลัด อุณหภูมิที่เหมาะที่สุดคือ 20 - 25 องศาเซลเซียส โดยจะมีเปอร์เซ็นสูงสุดและใช้เวลาน้อยที่สุด
- ปวยเล้ง อุณหภูมิที่เหมาะที่สุดคือ 5 องศาเซลเซียส โดยจะมีเปอร์เซ็นสูงสุด แต่ใช้เวลาไม่สั้นที่สุด
การปลูกพืชผักทุกชนิด ผู้ปลูกควรมีการจดบันทึกวันที่เริ่มมีการเพาะเมล็ดไว้ทุกครั้ง เพื่อใช้กำหนดขั้นตอนการดูแลผักในแต่ละวันเพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลเป็นการวางแผนการปลูกในรอบต่อๆไป และช่วยให้เราทราบถึงอายุผักที่ปลูกได้อย่างถูกต้องอีกด้วย
*สำหรับวิธีการเพาะเมล็ดที่แนะนำด้านล่างนี้เป็นเพียงวิธีหนึ่งที่ช่วยลดความเสี่ยง จากการที่ต้องเพาะเมล็ดซ่อมในกรณีที่เราเพาะลงในฟองน้ำหรือวัสดุปลูกโดยตรง แล้วเมล็ดงอกไม่สม่ำเสมอกันหรือเมล็ดไม่งอก ทำให้เราต้องเสียเวลาในการเพาะซ่อมเมล็ดที่ไม่สมบูรณ์หรือไม่งอกทำให้ผักในแปลงปลูกอายุไม่เท่ากัน สำหรับผู้ที่ต้องการเพาะเมล็ดลงวัสดุปลูกโดยตรงสามารถทำได้ครับ แต่แนะนำให้เพาะเผื่อไว้กันพลาด อย่างเช่นการเพาะสลัดปกติกเราจะใส่ 1 เมล็ดต่องฟองน้ำ 1 ก้อน ก็ให้เราใส่ไปประมาณ 2 - 3 เมล็ด เมื่อต้นเกล้าอายุได้ประมาณ 7 วัน ก็ให้เลือกต้นที่สมบูรณ์ที่สุดไว้ 1 ต้น ที่เหลือก็ถอนออกครับ
*สำหรับวิธีการเพาะเมล็ดที่แนะนำด้านล่างนี้เป็นเพียงวิธีหนึ่งที่ช่วยลดความเสี่ยง จากการที่ต้องเพาะเมล็ดซ่อมในกรณีที่เราเพาะลงในฟองน้ำหรือวัสดุปลูกโดยตรง แล้วเมล็ดงอกไม่สม่ำเสมอกันหรือเมล็ดไม่งอก ทำให้เราต้องเสียเวลาในการเพาะซ่อมเมล็ดที่ไม่สมบูรณ์หรือไม่งอกทำให้ผักในแปลงปลูกอายุไม่เท่ากัน สำหรับผู้ที่ต้องการเพาะเมล็ดลงวัสดุปลูกโดยตรงสามารถทำได้ครับ แต่แนะนำให้เพาะเผื่อไว้กันพลาด อย่างเช่นการเพาะสลัดปกติกเราจะใส่ 1 เมล็ดต่องฟองน้ำ 1 ก้อน ก็ให้เราใส่ไปประมาณ 2 - 3 เมล็ด เมื่อต้นเกล้าอายุได้ประมาณ 7 วัน ก็ให้เลือกต้นที่สมบูรณ์ที่สุดไว้ 1 ต้น ที่เหลือก็ถอนออกครับ
อุปกรณ์ที่ใช้ในการเพาะเมล็ด
1. ถาดพลาสติกสูงประมาณ 1 นิ้ว (สำหรับอนุบาลต้นกล้า)
2. กล่องถนอมอาหารที่มีฝาปิดสนิท (สำหรับเพาะเมล็ด)
3. กระดาษชำระสีขาว (ไม่มีการเคลือบน้ำยา)
4. เมล็ดผักสลัดที่จะทำการเพาะ (ทั้งแบบเคลือบ หรือ แบบไม่เคลือบ)
5. ฟองน้ำสำหรับปลูกพืช
6. คีมคีบขนาดเล็ก (สำหรับใช้คีบเมล็ด)
วิธีการเพาะเมล็ดผักสลัด (แบบเคลือบ และไม่เคลือบ)
1. นำกระดาษชำระวางลงด้านในกล่องถนอมอาหาร โดยวางกระดาษชำระซ้อนกันประมาณ 2 - 3 ชั้น
2. เสปรย์น้ำลงบนกระดาษชำระ หรือใช้วิธีค่อยๆ เทน้ำลงไปบนกระดาษให้ทั่ว ให้กระดาษซับน้ำไว้ในตัว แล้วเทน้ำที่เหลือออกจากกล่องให้หมด อย่าให้มีน้ำขังอยู่ในกล่อง (ให้กระดาษซับน้ำไว้อย่าให้กระดาษแฉะมากเกินไป) น้ำที่ใช้เป็นน้ำดื่มสะอาด ห้ามใช้น้ำประปาที่มีคลอรีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากคลอรีนในน้ำประปาจะทำให้เมล็ดเน่า และไม่งอกได้ แนะนำให้ใช้น้ำดื่มขวดใส อย่าใช้น้ำดื่มขวดขุ่นเพราะน้ำขวดขุ่นจะกรองด้วยเรซิน ซึ่งใช้เกลือในการล้างสารกรอง เกลือจะมีผลต่อการงอกของเมล็ดสลัด
** สำหรับเมล็ดเคลือบถ้าต้องการลดขั้นตอนในการเพาะนี้ แนะนำให้เพาะลงเพอร์ไลท์ หรือถ้าปลูกลงดินก็เพาะลงพีทมอสได้เลยครับ **
4. เมื่อผ่านไปประมาณ 24 - 48 ชั่วโมง หลังจากเพาะเมล็ด ให้สังเกตุดูที่เมล็ด จะเริ่มมีรากสีขาวของต้นกล้างอกออกมาประมาณ 2 มิลลิเมตร ก็สามารถย้ายลงปลูกในก้อนฟองน้ำได้เลย อย่าปล่อยให้เกิน 2 วัน เพราะช่วงนี้รากของสลัดจะยาวเร็วมาก ถ้าย้ายช้ากว่านั้นรากจะติดกับกระดาษชำระทำให้ดึงออกได้ยาก แต่ถ้ารากยาวมากให้เราแก้ไขโดยใช้ฟ็อคกี้ค่อยเสปรย์น้ำลงไปให้กระดาษฉุ่มน้ำพอกระดาษอ่อนนิ่มแล้วจะทำให้เราใช้คีมเล็กๆค่อยๆ ดึงเมล็ดออกมาได้ง่ายโดยที่รากจะไม่ขาด
5. ให้นำฟองน้ำที่จะใช้ในการปลูกเรียงในถาดเพาะ แล้วเทน้ำสะอาดให้เต็มถาดอนุบาล (น้ำที่ใช้เป็นน้ำดื่มสะอาด ห้ามใช้น้ำประปาที่มีคลอรีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากคลอรีนในประปาจะทำให้รากเน่าได้) จากนั้นใช้มือกดก้อนฟองน้ำเพื่อไล่อากาศจากก้อนฟอง และให้น้ำดูดซับน้ำเข้าไปแทน แล้วเทน้ำลงไปในถาดเพิ่ม ใช้มือกดก้อนฟองน้ำอีกครั้งเพื่อให้ก้อนฟองน้ำอิ่มน้ำ แล้วเทน้ำในถาดอนุบาลให้สูงเกือบท่วมก้อนฟองน้ำ โดยห่างจากด้านบนฟองน้ำประมาณ 2 - 3 มิลลิเมตร
7. นำเมล็ดที่เพาะได้ประมาณ 1 - 2 วัน ที่มีรากสีขาวงอกออกมา (เลือกเมล็ดที่งอกใกล้เคียงกัน) นำไม้จิ้มฟัน หรือคีมเล็กๆ ค่อยๆ คีบเมล็ดที่มีรากงอก นำรากไปสอดในช่องตรงกลางของฟองน้ำ (ต้องระมัดระวังอย่าให้รากหักหรือพับงอ) โดยสอดเมล็ดลงไปให้ส่วนท้ายของเมล็ดโผล่จากก้อนฟองน้ำเล็กน้อย ช่วงนี้แนะนำให้ถาดเพาะโดนแสงสว่างธรรมชาติช่วงเช้าหรือเย็น บ้างอย่างน้อย 2 - 4 ชั่วโมงต่อวัน
- ผักสลัดให้ใส่ 1 เมล็ดต่อฟองน้ำ 1 ก้อน
- ผักไทย,ผักจีนให้ใส่ 2 - 3 เมล็ดต่อฟองน้ำ 1 ก้อน
9. เมื่อครบ 7 วัน หลังจากเพาะเมล็ด ต้นกล้าเริ่มมีใบจริง งอกออกมาให้เทน้ำเก่าในถาดอนุบาลออกให้หมด แล้วนำน้ำผสมธาตุอาหาร A, B แบบเจือจาง เติมลงไปในถาดแทนน้ำเดิม และลดระดับน้ำให้เหลือ 1/3 ของก้อนฟองน้ำ และเพิ่มระยะเวลาในการรับแสงแดดของต้นกล้า 5 - 6 ชั่วโมง/วัน การเพิ่มปริมาณแสงแดดให้ต้นเกล้าจะทำให้ต้นเกล้าแข็งแรงและเคยชินกับแสงแดดทำให้เวลาย้ายลงปลูกผักจะไม่มีอาการเฉี่ยวเฉาได้ง่ายเมื่อถูกแสงแดดแรงๆ
- ผักสลัด ปุ๋ย A, B อย่างละ 1 - 2 ซีซี/น้ำ 1 ลิตร
- ผักไทย ปุ๋ย A, B อย่างละ 2 - 3 ซีซี/น้ำ 1 ลิตร
10. เมื่อครบ 14 วัน (2 สัปดาห์) ต้นกล้าก็พร้อมที่ย้ายลงแปลงปลูกได้แล้ว มีข้อปฎิบัติดังนี้
(ระยะเวลาการอนุบาลในแต่ละฤดูอาจจะไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับสภาพอากาศเป็นปัจจัย บางฤดูอาจใช้เวลาอนุบาลเพียง 10 วันก็สามารถย้ายลงปลูกได้เลย โดยเราจะสังเกตุได้จากต้นเกล้าเป็นหลักถ้าต้นเกล้ามีใบจริงอย่างน้อย 2 ใบก็สามารถย้ายปลูกได้เลยครับ) สำหรับฟาร์มใหญ่ๆ มักจะมีแปลงอนุบาลในแต่ละช่วงอายุผัก ก็สามารถย้ายลงอนุบาลได้ตั้งแต่เกล้าอายุได้ประมาณ 5 - 7 วัน จะทำให้รอบการปลูกแต่ละรอบสั้นลง โดยก่อนย้ายเกล้าผักลงแปลงให้ปฎิบัติดังนี้
- ให้สเปรย์น้ำให้ทั่วก้อนฟองน้ำก่อนย้ายลงแปลงปลูก และควรเลือกย้ายในช่วงเย็น เนื่องจากช่วงเย็นจนถึงค่ำ พืชจะปรับตัวได้ดีกว่าช่วงกลางวัน และลดความเสี่ยงที่ต้นเกล้าจะเฉาตายจากแดดได้
- ให้เลือกต้นกล้าที่สมบูรณ์และมีขนาดต้นใกล้เคียงกันลงแปลงปลูก
11. นำต้นกล้าใส่กระถางปลูก (สอดต้นกล้าจากด้านล่างกระถางเพื่อป้องกันการพับหักงอของรากพืชจากการใส่ฟองน้ำจากด้านบนกระถาง) โดยให้ก้นของฟองน้ำโผล่ออกมาจากก้นกระถาง
12. นำต้นกล้าที่สวมกระถางปลูกแล้วไปใส่ในช่องปลูกของรางปลูก โดยสังเกตุว่าก้นของฟองน้ำสัมผัสกับน้ำในรางปลูกหรือไม่ หากยังไม่สัมผัสก็ให้ขยับฟองน้ำลงมาเพื่อให้ก้นของฟองน้ำแตะกับน้ำในรางปลูก (ให้น้ำในรางปลูกสัมผัสกับฟองน้ำประมาณ 2 - 3 มิลลิเมตร)
เทคนิคการเพาะเมล็ดของผักแต่ละชนิด
1. ผักบุ้ง นำเมล็ดใส่ถุงพลาสติกแจาะรู แช่น้ำอุ่น ประมาณ 6 - 12 ชั่วโมง ในระหว่างแช่ให้หาวัตถุกดทับถุงใส่เมล็ดให้จมอยู่ในน้ำเสมอ
ผักบุ้งจะใช้เวลางอกประมาณ 5 - 14 วัน
อุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการงอกคือ 18 - 25 องศาเซลเซียส
อายุเก็บเกี่ยวประมาณ 25 - 30 วัน
2. คื่นช่าย นำเมล็ดแช่น้ำเย็นประมาณ 4 - 5 ชั่วโมง แล้วห่อด้วยผ้า หรือเพาะบนกระดาษทิชชูแบบเดียวกับการเพาะเมล็ดสลัด หรือจะนำไปเพาะบนกระบะทรายก็ได้เช่นกัน
คื่นฉ่ายจะใช้เวลางอกประมาณ 7 - 14 วัน
อุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการงอกคือ 15 - 20 องศาเซลเซียส
อายุเก็บเกี่ยวประมาณ 70 - 80 วัน
3. ผักชี นำเมล็ดมาห่อด้วยกระดาษหรือผ้าแล้วใช้ท่อพีวีซี กลิ้งคลึงเมล็ดให้แตกเป็น 2 ซีก แล้วนำไปแช่น้ำอุ่นประมาณ 6 - 12 ชั่วโมง แล้วนำไปเพาะตามปกติจะทำให้ผักชีงอกได้เร็วขึ้น ปกติผักชีจะใช้เวลางอกประมาณ 7 - 14 วัน หรือจะนำไปเพาะบนกระบะทรายก็ได้
- ผักชีไทย อายุเก็บเกี่ยวประมาณ 40 - 50 วัน
- ผักชีลาว อายุเก็บเกี่ยวประมาณ 55 - 60 วัน
4. ผักชีฝรั่ง นำเมล็ดแช่น้ำอุ่นประมาณ 6 - 12 ชั่วโมง แล้วนำไปเพาะตามปกติ
ผักชีฝรั่ง จะใช้เวลางอกประมาณ 7 - 14 วัน
อายุเก็บเกี่ยวประมาณ 100 - 120 วัน
5. พืชตระกูลแตง ได้แก่ แตงกวา, แตงโม, แคนตาลูป, เมล่อน, แตงไทย, ฟักทอง, น้ำเต้า ฯลฯ
โดยธรรมชาติเมล็ดพืชตระกูลแตง หรือฟัก จะมีเปลือกหุ้มเมล็ดค่อนข้างแข็ง. มีหลายๆ ที่แนะนำให้แช่เมล็ดในน้ำอุ่นเพียง 3-4 ชม. จริงๆแล้วเวลาเพียงเท่านั้นจะไม่เพียงพอที่จะนำพาน้ำและความชื้นเข้าสู่เมล็ดได้พอ ซึ่งจะมีผลทำให้เมล็ดที่เพาะงอกช้า และงอกไม่พร้อมกัน ทำให้เกิดปัญหาในเรื่องการวางแผนการปลูกได้.
เทคนิคการเพาะพืชตระกูลแตงให้มีอัตราการงอกสูง และมีการงอกอย่างสม่ำเสมอ โดยปกติแล้วพืชในตระกูลแตง อาทิเช่น เมล่อน, ฟักทอง, แตงโม, บวบ ฯลฯ พืชพวกนี้จะมีเปลือกหุ้มเมล็ดแข็งมาก การแช่น้ำเพียงไม่นานมักจะทำให้เมล็ดได้รับน้ำไม่พอที่จะทำให้เปลือกนุ่มลงได้ ทำให้เมล็ดต้องใช้พลังงานในการงอกสูง เกิดปลทำให้การงอกไม่สมบูรณ์ เมล็ดจะงอกช้า งอกไม่สม่ำเสมอ หรืออาจจะไม่งอกเลย ฉะนั้นก่อนที่เราจะทำการเพาะเมล็ดเราควรเปิดปลายเมล็ดออกเล็กน้อยเพื่อช่วยลดการสูญเสียพลังงานของพืชในการงอกจากเมล็ดมีขั้นตอนและวิธีตามลิงค์ด้านล่างดังนี้
ปัจจัยหลักๆ ของการงอกของพืชในกลุ่มนี้จะมีส่วนสำคัญ 3 ปัจจัยใหญ่ๆคือ
เทคนิคการเพาะพืชตระกูลแตงให้มีอัตราการงอกสูง และมีการงอกอย่างสม่ำเสมอ โดยปกติแล้วพืชในตระกูลแตง อาทิเช่น เมล่อน, ฟักทอง, แตงโม, บวบ ฯลฯ พืชพวกนี้จะมีเปลือกหุ้มเมล็ดแข็งมาก การแช่น้ำเพียงไม่นานมักจะทำให้เมล็ดได้รับน้ำไม่พอที่จะทำให้เปลือกนุ่มลงได้ ทำให้เมล็ดต้องใช้พลังงานในการงอกสูง เกิดปลทำให้การงอกไม่สมบูรณ์ เมล็ดจะงอกช้า งอกไม่สม่ำเสมอ หรืออาจจะไม่งอกเลย ฉะนั้นก่อนที่เราจะทำการเพาะเมล็ดเราควรเปิดปลายเมล็ดออกเล็กน้อยเพื่อช่วยลดการสูญเสียพลังงานของพืชในการงอกจากเมล็ดมีขั้นตอนและวิธีตามลิงค์ด้านล่างดังนี้
ปัจจัยหลักๆ ของการงอกของพืชในกลุ่มนี้จะมีส่วนสำคัญ 3 ปัจจัยใหญ่ๆคือ
1.เรื่องของน้ำที่ใช้แช่เมล็ด โดยปกติน้ำที่เหมาะสมในการนำมาแช่เมล็ดหรือใช้เพาะเมล็ดควรเป็นน้ำที่สะอาด ปราศจากคลอรีน ส่วนเรื่องอุณหภูมิของน้ำจะอุ่น หรือไม่อุ่น ไม่ค่อยสำคัญเท่ากับระยะเวลาในการแช่เมล็ดครับ มีหลายครั้งที่เราแช่เมล็ดด้วยน้ำอุ่นเพียงไม่กี่ ชม. แต่เมล็ดยังคงไม่อิ่มน้ำหรือยังไม่จมตัว แล้วนำไปเพาะผลที่ได้ก็ตามที่ผมได้กล่าวไว้ข้างต้นคือ งอกช้า และไม่พร้อมกัน ฉะนั้นการแช่เมล็ดพืชตระกูลแตง และฟักส่วนใหญ่ผมแนะนำให้แช่น้ำทิ้งไว้อย่างน้อย 1 คืน (12 ชม.) หรืออาจจะนานกว่านั้นก็ได้แต่ไม่เกิน 30 ชม. (สังเกตุที่เมล็ดถ้าอิ่มตัวแล้วจะจมน้ำอยู่ก้นภาชนะ)
2.ความชื้นในการบ่มเมล็ด มีหลายท่านแนะนำให้ใช้ผ้าขาวบางชุบน้ำบิดหมาดๆ ห่อเมล็ดไว้ วิธีการนี้ใช้ได้ครับ แต่ต้องระวังในเรื่องของความชื้นของผ้าที่มากเกินไปก็อาจทำให้เมล็ดเน่าและเกิดเชื้อราได้ เนื่องจากการห่อไว้ในผ้าที่เปียกน้ำ เมล็ดมักจะเกิดการขาดอ๊อกซิเจนซึ่งเป็นปัจจัยอีกตัวในกระบวนการงอกของเมล็ดได้. ปกติแล้วส่วนตัวผมเองมักจะแนะนำให้เพาะในกล่องถนอมอาหารที่มีฝาปิดสนิท โดยรองด้านกล่องด้วยกระดาษทิขชู 3-4 ชั้นพรมน้ำให้พอชุ่ม แต่ไม่แฉะหรือมีน้ำขังในกล่อง แล้วนำเมล็ดที่ผ่านการแช่น้ำมาแล้วมาวางเรียงในกล่องนั้นโดยไม่ต้องพรมน้ำซ้ำ ซึ่งวิธีการนี้มีข้อดีความเมล็ดจะมีพื้นที่ได้รับอ๊อกซิเจนมากขึ้น ทำให้ปัจจัยการงอกสมบูรณ์และดีกว่าการห่อผ้า.
3.อุณหภูมิ ในการงอกของเมล็ดในพืชตระกูลแตงและฟัก โดยปกติพืชในกลุ่มนี้จะงอกสมบูรณ์ได้ในอุณหภูมิประมาณ 30 - 34 องศา C ถ้าสูงหรือต่ำกว่านั้น อัตราการงอกจะเริ่มลดลง. โดยปกติถ้าต้องการกระตุ้นให้เมล็ดเกิดการงอกผมจะแนะนำวิธีการบ่มร้อนดังนี้ นำกล่องถนอมอาหารที่เราทำจากข้อ 2 ด้านบน มาวางในกระติกน้ำเปล่า หรือกล่องโฟมเปล่า ปิดฝาให้สนิทแล้วนำกล่องนั้นไปตากแดดไว้ประมาณ 6 - 8 ชม. เมื่อเมล็ดถูกกระตุ้นด้วยอุณหภูมิที่สูงขึ้นกระจะทำให้เกิดการงอกได้สมบูรณ์ เมื่อเมล็ดเริ่มมีปลายรากสีขาวโผล่ออกมา ก็สามารถย้ายไปลงวัสดุปลูกได้เลยครับ
*** ไม่แนะนำให้นำเมล็ดที่ยังไม่มีปลายรากออกมาไปใส่ในวัสดุเพาะนะครับเนื่องจากวัสดุเพาะมักจะมีอุณหภูมิที่ต่ำกว่าปัจจัยในการงอก บวกกับความชื้นของวัสดุและพื้นที่ของอ๊อกซิเจนน้อยกว่าการกระตุ้นในกล่องที่ปิดฝา ส่งผลทำให้เมล็ดไม่งอกและเน่าได้ครับ ***
พืชตระกูลแตง จะใช้เวลางอกประมาณ 2 - 10 วันเมื่อเมล็ดเริ่มงอกก็นำไปเพาะลงวัสดุปลูกต่อไป
- แตงโมเปลือกลาย, แตงโมเปลือกดำ อายุเก็บเกี่ยวประมาณ 35 - 40 วันหลังจากดอกบาน
- แตงไทย อายุเก็บเกี่ยวประมาณ 50 - 55 วันหลังจากหยอดเมล็ด
- แตงกวา อายุเก็บเกี่ยวประมาณ 6 - 7 วันหลังดอกบาน
- เมล่อน, แคนตาลูป อายุเก็บเกี่ยวประมาณ 40 - 60 วันหลังผสมเกสร (แล้วแต่ชนิดของสายพันธุ์)
- ฟักทองญี่ปุ่น 45 - 50 วัน หลังดอกบาน
6. พืชกลุ่มพริก, มะเขือม่วง นำเมล็ดใส่ถุงพลาสติกแจาะรู แช่น้ำอุ่น 40 - 50 องศาเซลเซียส ประมาณ 6 - 12 ชั่วโมง ในระหว่างแช่ให้หาวัตถุกดทับถุงใส่เมล็ดให้จมอยู่ในน้ำเสมอ จากนั้นให้นำเมล็ดมาเพาะในกล่องพลาสติกถนอมอาหาร ที่รองด้วยกระดาษชำระพรมน้ำให้กระดาษพอมีความชื้น แต่อย่าให้เปียกหรือ มีน้ำขัง นำเมล็ดที่ผ่านการแช่น้ำมาแล้ววางลงบนกระดาษชำระโดย ไม่ต้องทับกระดาษลงอีกชั้น จากนั้นปิดฝาให้สนิท นำไปตากแดด จะทำให้เมล็ดงอกเร็วขึ้น
เมล็ดพริก, มะเขือ จะใช้เวลาในการงอกประมาณ 5 - 10 วัน เมื่อเมล็ดเริ่มงอกก็นำไปเพาะลงวัสดุปลูกต่อไป
- พริก อายุเก็บเกี่ยวประมาณ 50 - 60 วันหลังจากหยอดเมล็ด
- พริกหวาน อายุเก็บเกี่ยวประมาณ 80 - 100 วันหลังจากหยอดเมล็ด
- มะเขือเปราะ อายุเก็บเกี่ยวประมาณ 50 - 60 วันหลังจากหยอดเมล็ด
- มะเขือม่วง อายุเก็บเกี่ยวประมาณ 50 - 60 วันหลังจากหยอดเมล็ด
7. มะเขือเทศ เตรียมน้ำสะอาดที่ไม่มีคลอรีน ใส่แก้วน้ำดื่มประมาณ 2/3 แก้ว ใส่เมล็ดมะเขือเทศแช่ลงไปในน้ำสะอาดนั้น ให้แช่ทิ้งไว้อย่างนั้น โดยเราเปลี่ยนน้ำประมาณ 50% ทุกวัน วิธีการนี้จะทำให้เมล็ดมะเขือเทศงอกเร็วกว่าการเพาะแบบปกติ จะใช้เวลาในการงอกประมาณ 5 - 10 วัน คอยสังเกตุที่เมล็ดเมื่อเริ่มงอกก็นำไปเพาะลงวัสดุปลูกต่อไปได้เลย
7. ปวยเล้ง เป็นพืชที่หลายคนคิดว่าเพาะได้ยาก แต่จริงๆแล้วการเพาะปวยเล้งไม่ยากอย่างที่คิดแต่อาจจะใช้เวลา และเทคนิคยุ่งยากกว่าเมล็ดพืชชนิดอื่น โดยมีขั้นตอนดังนี้
- นำเมล็ดใส่ถุงพลาสติกแจาะรู แช่น้ำอุ่น 40 - 50 องศาเซลเซียส ประมาณ 6 - 12 ชั่วโมง ในระหว่างแช่ให้หาวัตถุกดทับถุงใส่เมล็ดให้จมอยู่ในน้ำเสมอ จากนั้นให้นำเมล็ดมาเพาะในกล่องพลาสติกถนอมอาหาร ที่รองด้วยกระดาษชำระพรมน้ำให้กระดาษพอมีความชื้น แต่อย่าให้เปียกหรือ มีน้ำขัง นำเมล็ดที่ผ่านการแช่น้ำมาแล้ว ผึ่งให้เมล็ดแห้งพอหมาดๆ วางลงบนกระดาษชำระโดย ไม่ต้องทับกระดาษลงอีกชั้น จากนั้นปิดฝาให้สนิท
- นำกล่องถนอมอาหารนี้ไปใส่ในตู้เย็น (ช่องแช่ผักธรรมดา) อุณหภูมิของตู้เย็นปกติจะอยู่ที่ประมาณ 4 - 7 องศา C ซึ่งเป็นอุณหภูมิทีเหมาะต่อการงอกของเมล็ดปวยเล้งอยู่แล้ว
- ประมาณ 7 - 14 วัน เมล็ดปวยเล้งจะเริ่มแตกออก และมีปลายรากโผล่ออกมาจากเมล็ด จึงสามารถนำเมล็ดที่มีรากงอกออกมานั้นไปเพาะลงวัสดุปลูกได้ครับ
อายุเก็บเกี่ยวปวยเล้งประมาณ 40 - 45 วัน (นับจากวันปลูก)
8. บรีทรูท, สวิชชาร์ด เป็นพืชที่มีเปลือกหุ้มเมล็ดค่อนข้างแข็งเช่นจึ้งต้องทำการแช่น้ำอุ่นก่อนเพื่อเป็นการกระตุ้นการงอกโดยมีขั้นตอนดังนี้
- นำเมล็ดใส่ถุงพลาสติกแจาะรู แช่น้ำอุ่น 40 - 50 องศาเซลเซียส ประมาณ 6 - 12 ชั่วโมง ในระหว่างแช่ให้หาวัตถุกดทับถุงใส่เมล็ดให้จมอยู่ในน้ำเสมอ จากนั้นให้นำเมล็ดมาเพาะในกล่องพลาสติกถนอมอาหาร ที่รองด้วยกระดาษชำระพรมน้ำให้กระดาษพอมีความชื้น แต่อย่าให้เปียกหรือ มีน้ำขัง นำเมล็ดที่ผ่านการแช่น้ำมาแล้ว ผึ่งให้เมล็ดแห้งพอหมาดๆ วางลงบนกระดาษชำระโดย ไม่ต้องทับกระดาษลงอีกชั้น จากนั้นปิดฝาให้สนิท
- นำกล่องถนอมอาหารนี้ไปตากแดด ประมาณ 7 - 14 วัน เมล็ดจะมีปลายรากโผล่ออกมา จึงสามารถนำเมล็ดไปเพาะลงวัสดุปลูกต่อไปได้ครับ (อุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับบรีทรูทและสวีทชาร์ด ค่อนข้างต้องใช้อุณหภูมิสูง โดยใช้อุณหภูมิของวัสดุปลูกอยู่ที่ประมาณ 30 องศา C) ดังนั้นการเพาะในวัสดุที่เป็นฟองน้ำหรือดินที่เปียกซึ่งมีอุณหภูมิค่อนข้างต่ำ ทำให้เมล็ดงอกช้า หรือไม่งอกได้ครับ
อายุเก็บเกี่ยว สวีทชาร์ด ประมาณ 50 - 55 วัน (นับจากวันปลูก)
อายุเก็บเกี่ยวบรีทรูท ประมาณ 50 - 60 วัน (นับจากวันปลูก)
การเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์พืช
เมล็ดพันธุ์พืชทุกชนิดปกติแล้วเมื่อเปิดบรรจุภัณฑ์ แล้วแนะนำให้ใช้ให้หมดเนื่องจากเมล็ดจะเริ่มสูญเสียความชื้น ทำให้อัตราการงอกลดลง หากใช้ไม่หมดการเก็บเมล็ดพันธุ์พืช แนะนำให้เก็บในภาชนะที่ปิดสนิท เช่น กระปุกยา, กล่องถนอมอาหารที่มีฝาปิดสนิท เก็บในตู้เย็น (ช่องแช่ผัก) อุณหภูมิ 4 - 10 องศาเซลเซียส โดยเมล็ดพันธุ์พืชที่เก็บในภาชนะปิดสนิทและเก็บในอุณหภูมิต่ำ สามารถเก็บได้นานประมาณ 1 - 2 ปี
* สามารถดูวิธีการปลูกพืชเพิ่มเติมได้จาก http://zen-hydroponics.blogspot.com/2013/01/blog-post.html หรือสอบถามเพิ่มเติมมาได้ที่ zen-hydroponics@hotmail.com ก็ได้ครับ