ประวัติความเป็นมาของแตงโมญี่ปุ่น
แตงโม เป็นพืชเถาเลื้อย อยู่ในวงศ์ (Citrullus lanatus var. lanatus, family Cucurbitaceae) มีต้นกำเนิดมาจากภาคใต้ของแอฟริกา ในศตวรรษที่ 7 ได้มีการนำเมล็ดมาปลูกแพร่หลายในอินเดีย และเริ่มเข้ามาปลูกในประเทศจีน เมื่อถึงศตวรรษที่ 10 หลังจากนั้นชาวยุโรปก็เข้าไปปลูกในภาคใต้ของยุโรป ต่อมาชาวสเปนได้มาตั้งอาณานิคมในทวีปอเมริกาและได้นำเมล็ดแตงโมมาเพาะปลูกทำไร่ในฟลอริด้า ในปี 1576 ต่อมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ชาวอเมริกันที่มาตั้งฐานทัพในประเทศญี่ปุ่นได้นำสายพันธุ์แตงโมมาปลูกในญี่ปุ่น
ต่อมาชาวญี่ปุ่นได้พัฒนาและปรับปรุงสายพันธุ์แตงโม ให้ได้แตงโมที่มีขนาดเล็กและมีความหวานสูง ที่เรียกว่า "Japanese Icebox Watermelon" โดยเกษตรกรชาวญี่ปุ่นได้คิดประดิษฐ์กล่องหรือภาชนะสำหรับสร้างรูปทรงให้กับผลแตงโม ช่วงแรกได้สร้างเป็นกล่องลูกบาศก์เพื่อให้ได้ผลแตงโมเป็นรูปสี่เหลี่ยมเพื่อสะดวกในการขนส่งและสามารถใส่ในตู้เย็นเพื่อประหยัดพื้นที่ ต่อมาได้มีการพัฒนาสร้างรูปทรงแบบต่างๆ ขึ้นเพื่อให้เกิดความหลากหลายและสวยงามเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด
แตงโมสายพันธุ์ญี่ปุ่นมีอยู่ประมาณ 10 กว่าสายพันธุ์ แตงโมญี่ปุ่นเป็นแตงที่มีความหวานและกลิ่นหอมที่เป็นแบบเฉพาะของแตงสายพันธุ์ญี่ปุ่นที่แตงโมสายพันธุ์อื่นไม่มีจึงทำให้แตงโมสายพันธุ์จากญี่ปุ่นจึงมีราคาแพงมาก โดยราคาเฉลี่ยที่จำหน่ายทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 100 - 200 $ USD หรือลูกละประมาณ 3,000 - 7,000 บาท แต่ถ้ามีการทำรูปทรงแบบต่างๆ แล้วราคาอาจจะกระโดดไปถึงราคาหลักหมื่นบาทเลยทีเดียว
วิธีการเพาะเมล็ดแตงโม
แตงโมเป็นพืชตระกูลแตงที่ต้องการอุณหภูมิที่สูงกว่า 30 องศาเซลเซียส ในการงอกจากเมล็ด กรณีที่ปลูกในช่วงที่มีอากาศเย็นจะทำให้เมล็ดแตงงอกช้าหรืออาจจะไม่งอกจากเมล็ดเลย ดังนั้นการเพาะเมล็ดแตงโมให้งอกอย่างสม่ำเสมอนั้นต้องมีการกระตุ้นการงอกด้วยอุณหภูมิที่สูงก่อน โดยมีขั้นตอนการเพาะเมล็ดแตงโม ดังนี้
1. นำเมล็ดแตงโมไปแช่ในน้ำอุ่น 50 องศาเซลเซียส ประมาณ 5 - 6 ชั่วโมง
3. นำเมล็ดแตงโมมาผึ่งให้พอแห้งหมาดๆ
4. ใช้กระดาษชำระซ้อนกันสัก 3 - 4 ชั้น ห่อเมล็ดแตงโมเอาไว้และพรมน้ำเล็กน้อยพอให้มีความชื้น (แต่อย่าให้แฉะมากจะทำให้เมล็ดงอกช้าหรืออาจเน่าได้) นำผ้าขนหนูชุบน้ำบิดหมาดๆห่อกระดาษชำระอีกชั้นหนึ่ง แล้วนำผ้าที่ห่อเมล็ดนั้นในบ่มไว้ในกระติกน้ำ หรือกล่องถนอมอาหาร โดยวางกระติกน้ำนั้นในอุณภูมิห้องปกติ
5.หลังจากบ่มเมล็ดไว้ประมาณ 48 ชั่วโมง (2 วัน) ให้แกะห่อเมล็ดออกดูจะพบว่าเมล็ดแตงโมเริ่มมีรากสีขาวออกมาจากเมล็ด ก็ให้ใช้คีมคีบเมล็ดไว้ใส่วัสดุเพาะเกล้าได้เลยโดยในที่นี้จะแนะนำให้ใช้วัสดุผสม คือ พีทมอส 1 ส่วน ผสม ขุยมะพร้าวร่อนละเอียด 1 ส่วน ใส่ลงถาดหลุมเพาะเกล้า แล้วฝังเมล็ดแตงโมที่งอกแล้วลงวัสดุให้ลึกไม่เกิน 1 เซนติเมตร แล้วรดน้ำวัสดุให้พอชุ่ม
6.นำถาดเพาะไปวางไว้ใต้แสลนพรางแสงประมาณ 50% และรดน้ำทุกวันๆ ละ 2 ครั้งคือช่วงประมาณ 9.00 น. และ 13.00 น. ให้อนุบาลเกล้าจนอายุได้ประมาณ 10 - 15 วัน หรือมีใบจริงประมาณ 2 - 3 ใบก็สามารถย้ายลงแปลงปลูกได้เลยครับ
การย้ายเกล้าลงปลูกนั้นควร งดการรดน้ำก่อนเพื่อให้วัสดุเพาะเกล้าจับตัวแข็งเพื่อเวลาดึงต้นเกล้าออกมาวัสดุปลูกจะไม่แตกหลุดออกจากราก และควรย้ายในช่วงบ่าย-ถึงเย็นเพื่อให้ต้นเกล้ามีระยะเวลาปรับตัวในช่วงกลางคืน
สำหรับการเตรียมเกล้าแตงโมนั้น ปัจจุบันในประเทศญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกานิยมใช้เทคนิกที่เรียกว่า "กราฟติ้ง" (Grafting) ซึ่งนิยมทำกันมาในพืชตะกูลแตง และมะเขือเทศ ในที่นี้ผมจะกล่าวถึงเฉพาะการกราฟติ้งต้นแตงโม โดยใช้ระบบรากของต้นฟักทอง ธรรมชาติของพืชตระกูลแตงจะมีความอ่อนไหวต่อโรคที่เกิดจากเชื้อรามากโดยเฉพาะเชื้อราที่เกิดกับระบบราก การใช้เทคนิคกราฟติ้งจะใช้ต้นหลักเป็นต้นฟักทองซึ่งเป็นพืชที่มีระบบรากแข็งแรงทนต่อเชื้อรา และเป็นพืชที่มีรากดูดซึมอาหารได้ดีกว่าพืชตระกูลแตงทั่วๆไป
ขั้นตอนการเสียบยอด (Grafting) ต้นแตงโมกับต้นฟักทอง
https://www.youtube.com/watch?v=bv8sLfYV60E
https://www.youtube.com/watch?v=XVVM-bUj574
หลังจากเสียบยอดต้นเกล้าแล้วต้องคลุมด้วยพลาสติกแล้วนำไปไว้ในที่ร่มเพื่อลดการสูญเสียน้ำจากพืชและทำให้ต้นเกล้าเชื่อมต่อกันได้ดี โดยกระบวนการเชื่อมต่อสมบูรณ์จะใช้เวลาประมาณ 10 วัน หลังจากต้นเกล้าแข็งแรงดีแล้วจึงนำไปลงแปลงปลูกต่อไปได้
การปลูกแตงโมในญี่ปุ่นแตงโมสายพันธุ์ญี่ปุ่นมีอยู่ประมาณ 10 กว่าสายพันธุ์ แตงโมญี่ปุ่นเป็นแตงที่มีความหวานและกลิ่นหอมที่เป็นแบบเฉพาะของแตงสายพันธุ์ญี่ปุ่นที่แตงโมสายพันธุ์อื่นไม่มีจึงทำให้แตงโมสายพันธุ์จากญี่ปุ่นจึงมีราคาแพงมาก โดยราคาเฉลี่ยที่จำหน่ายทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 100 - 200 $ USD หรือลูกละประมาณ 3,000 - 7,000 บาท แต่ถ้ามีการทำรูปทรงแบบต่างๆ แล้วราคาอาจจะกระโดดไปถึงราคาหลักหมื่นบาทเลยทีเดียว
วิธีการเพาะเมล็ดแตงโม
แตงโมเป็นพืชตระกูลแตงที่ต้องการอุณหภูมิที่สูงกว่า 30 องศาเซลเซียส ในการงอกจากเมล็ด กรณีที่ปลูกในช่วงที่มีอากาศเย็นจะทำให้เมล็ดแตงงอกช้าหรืออาจจะไม่งอกจากเมล็ดเลย ดังนั้นการเพาะเมล็ดแตงโมให้งอกอย่างสม่ำเสมอนั้นต้องมีการกระตุ้นการงอกด้วยอุณหภูมิที่สูงก่อน โดยมีขั้นตอนการเพาะเมล็ดแตงโม ดังนี้
1. นำเมล็ดแตงโมไปแช่ในน้ำอุ่น 50 องศาเซลเซียส ประมาณ 5 - 6 ชั่วโมง
2. นำเมล็ดแตงโมที่แช่น้ำอุ่นมาแล้วไปล้างด้วยน้ำสะอาดประมาณ 2 - 3 น้ำเพื่อล้างเมือกที่เกาะเมล็ดออก สังเกตเมล็ดที่ล้างแล้วจะไม่ค่อยลื่นมาก
3. นำเมล็ดแตงโมมาผึ่งให้พอแห้งหมาดๆ
4. ใช้กระดาษชำระซ้อนกันสัก 3 - 4 ชั้น ห่อเมล็ดแตงโมเอาไว้และพรมน้ำเล็กน้อยพอให้มีความชื้น (แต่อย่าให้แฉะมากจะทำให้เมล็ดงอกช้าหรืออาจเน่าได้) นำผ้าขนหนูชุบน้ำบิดหมาดๆห่อกระดาษชำระอีกชั้นหนึ่ง แล้วนำผ้าที่ห่อเมล็ดนั้นในบ่มไว้ในกระติกน้ำ หรือกล่องถนอมอาหาร โดยวางกระติกน้ำนั้นในอุณภูมิห้องปกติ
5.หลังจากบ่มเมล็ดไว้ประมาณ 48 ชั่วโมง (2 วัน) ให้แกะห่อเมล็ดออกดูจะพบว่าเมล็ดแตงโมเริ่มมีรากสีขาวออกมาจากเมล็ด ก็ให้ใช้คีมคีบเมล็ดไว้ใส่วัสดุเพาะเกล้าได้เลยโดยในที่นี้จะแนะนำให้ใช้วัสดุผสม คือ พีทมอส 1 ส่วน ผสม ขุยมะพร้าวร่อนละเอียด 1 ส่วน ใส่ลงถาดหลุมเพาะเกล้า แล้วฝังเมล็ดแตงโมที่งอกแล้วลงวัสดุให้ลึกไม่เกิน 1 เซนติเมตร แล้วรดน้ำวัสดุให้พอชุ่ม
6.นำถาดเพาะไปวางไว้ใต้แสลนพรางแสงประมาณ 50% และรดน้ำทุกวันๆ ละ 2 ครั้งคือช่วงประมาณ 9.00 น. และ 13.00 น. ให้อนุบาลเกล้าจนอายุได้ประมาณ 10 - 15 วัน หรือมีใบจริงประมาณ 2 - 3 ใบก็สามารถย้ายลงแปลงปลูกได้เลยครับ
การย้ายเกล้าลงปลูกนั้นควร งดการรดน้ำก่อนเพื่อให้วัสดุเพาะเกล้าจับตัวแข็งเพื่อเวลาดึงต้นเกล้าออกมาวัสดุปลูกจะไม่แตกหลุดออกจากราก และควรย้ายในช่วงบ่าย-ถึงเย็นเพื่อให้ต้นเกล้ามีระยะเวลาปรับตัวในช่วงกลางคืน
สำหรับการเตรียมเกล้าแตงโมนั้น ปัจจุบันในประเทศญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกานิยมใช้เทคนิกที่เรียกว่า "กราฟติ้ง" (Grafting) ซึ่งนิยมทำกันมาในพืชตะกูลแตง และมะเขือเทศ ในที่นี้ผมจะกล่าวถึงเฉพาะการกราฟติ้งต้นแตงโม โดยใช้ระบบรากของต้นฟักทอง ธรรมชาติของพืชตระกูลแตงจะมีความอ่อนไหวต่อโรคที่เกิดจากเชื้อรามากโดยเฉพาะเชื้อราที่เกิดกับระบบราก การใช้เทคนิคกราฟติ้งจะใช้ต้นหลักเป็นต้นฟักทองซึ่งเป็นพืชที่มีระบบรากแข็งแรงทนต่อเชื้อรา และเป็นพืชที่มีรากดูดซึมอาหารได้ดีกว่าพืชตระกูลแตงทั่วๆไป
ขั้นตอนการเสียบยอด (Grafting) ต้นแตงโมกับต้นฟักทอง
https://www.youtube.com/watch?v=bv8sLfYV60E
https://www.youtube.com/watch?v=XVVM-bUj574
https://www.youtube.com/watch?v=OZYmxCvie7Q
https://www.youtube.com/watch?v=AbTEDFCfelk
การปลูกแตงโม
แตงโมเปนผักตระกูลแตง ที่คนไทยเรารูจักบริโภคกันมานาน
แลว นอกจากนิยมใชผลรับประทานแลว สวนของผลออนยอดออน ยัง
ใชในการปรุงอาหารไดหลายชนิด แตงโมเปนพืชที่ปลูกงายสามารถ
ปลูกไดทั่วทุกภาคของประเทศไทยทุกฤดูกาลตลอดปแตงโมปลูกไดใน
ดินแทบทุกชนิดแตปลูกไดดีในสภาพดินรวนปนทราย ซึ่งมีสภาพความ
เปนกรดเปนดาง ประมาณ 5.0–7.5 มีการระบายนํ้าไดดี
ฤดูปลูก
เนื่องจากแตงโมจะขาดตลาดและมีราคาสูงในตอนกลางและปลายฤดูฝนเพราะวาในชวงดัง
กลาวจะปลูกแตงโมไดยากลําบาก เนื่องจากตนแตงโมไมชอบฝนชุกจะตายดวยโรคเถาเหี่ยวเปนสวน
ใหญ และเกิดโรคทางใบมาก ผลแตงโมจะเนางายอีกทั้งรสชาติจะไมหวานจัดเหมือนแตงโมที่ปลูกในฤดู
แลง หรือในฤดูหนาว ฉะนั้นจึงควรเริ่มปลูกแตงโมตั้งแตตนเดือนพฤศจิกายนไปจนถึงเดือนมีนาคม และ
เก็บเกี่ยวครั้งสุดทายในเดือนมิถุนายน ซึ่งยังเปนตนฤดูฝนอยูและมีผูตองการบริโภคแตงโมกันมาก
ดินและการเตรียมดิน
แตงโมเปนพืชที่หยั่งรากลึกมากกวา 120 เซนติเมตร และตองการดินที่อุดมสมบูรณมีความชุม
ชื้นมากพอ ฉะนั้นถามีการไถพรวนหรือขุดยอยดินใหมีหนาดินรวนโปรงและลึกก็จะชวยปองกันการขาด
นํ้าไดเปนอยางดีในระยะที่ตนแตงโมกําลังเจริญเติบโต การเตรียมดินใหหนาดินลึกรวนโปรง จะชวยทํา
ใหดินนั้นยึดและอุมความชื้นไดมากขึ้น และเปนทางเปดใหรากแตงโมแทรกตัวเองลึกลงไปใตดินซึ่งจะ
ชวยใหรากหาอาหารและนํ้าไดกวางไกลยิ่งขึ้นและเปนการชวยทําใหพืชสามารถใชนํ้าใตดินมาเปน
ประโยชนไดอยางดีอีกดวย ถาจําเปนตองปลูกแตงโมในหนาฝนควรเลือกปลูกในดินที่มีการระบายนํ้าดี
คือเปนดินเบา หรือดินทราย แตถามีที่ปลูกเปนดินหนัก หรือ คอนขางหนัก ควรปลูกแตงโมในหนาแลง
และขุดดิน หรือไถดินใหลึกมากที่สุดจะเหมาะกวา
การจัดเถาแตงโม
ถาปลอยใหเถาแตงโมเลื้อยและแตกแขนงไปตามธรรมชาติ เถาแตงของแตละตนก็จะเลื้อยทับ
กัน และซอนกันจนหนาแนน ทําใหผลผลิตลดนอยลง เนื่องมาจากแมลงที่จะชวยผสมเกสรไมสามารถเข้าไปได้ทั่วถึง ฉะนั้น เมื่อเถาแตงโมเจริญเติบโตไปจนมีความยาว 1 ฟุต ให้ทำการตัดยอดแตง และไว้กิ่งแขนงหรือเถา ไว้ต้นละ 3-4 เถา แล้วทำการจัดเถาใหเลื้อยไปในทางเดียวกันเพื่อสะดวกในการดูแล
การชวยผสมเกสรดวยมือ (การตอดอก)
ผูปลูกแตงโม มักประสบปญหาแตงโมไมติดผลเนื่องจากไมมีแมลงชวยผสม เพราะใชสารฆา
แมลงฉีดพนตนแตงโมมากไปและไมเลือกเวลาฉีด ทําใหแมลงที่ชวยผสมเกสรเชน ผึ้ง ถูกสารฆาแมลง
ตายหมด จึงเกิดปญหาไมมีผึ้งชวยผสมเกสร จึงตองใชคนผสมแทน เราสามารถผสมพันธุแตงโมไดตั้ง
แตเวลา 06.00 น. ถึง 10.00 น. หลังจากเวลา 10.00 น.ไปแลวดอกตัวเมีย จะหุบและไมยอมรับการ
ผสมเกสรอีกตอไป การผสมดวยมือทําไดโดยเด็ดดอกตัวผูที่บานมาปลิดกลีบดอกสีเหลืองของดอกตัวผู
ออกเสียกอน จะเหลือแตอับเรณู ซึ่งมีละอองเกสรตัวผูเกาะอยูทั่วไป จากนั้นจึงควํ่าดอกตัวผูลงบนดอก
ตัวเมียใหอับเรณูของดอกตัวผู แตะสัมผัสกับเกสรตัวเมียโดยรอบ ใหละอองเกสรตัวผูสีเหลืองจับอยูบน
เกสรตัวเมียทั่วกันทั้งดอก ก็เปนอันเสร็จสิ้นการผสมซึ่งวิธีนี้ชาวบานเรียกวา “การตอดอก”
การปลิดผลทิ้ง
แตงโมผลแรกที่เกิดจากเถาหลัก สวนใหญ่จะมีขนาดเล็กและคุณภาพตํ่าเราควรปลิดทิ้งตั้งแตลูกยังเล็กๆ
และแตงที่มีลักษณะผลบิดเบี้ยวก็ควรปลิดทิ้งดวย ผลแตงที่ปลิดทิ้งไมควรปลอยใหโตเกินลูกปงปอง หรือผลฝรั่ง แตง
ที่ปลิดทิ้งนี้สามารถขายหรือรับประทานเปนผลแตงออนได ตนแตงโมแต่ละเถาอาจติดเปนผลไดหลายผล แต่สุดท้ายจะใหเลือกผลที่
มีกานขั้วผลขนาดใหญและรูปทรงผลไดรูปสมํ่าเสมอทั้งผลไวแค่เถาละ 1 ลูก เพื่อให้ได้แตงที่มีคุณภาพ
การปฏิบัติตอผลแตงโมภายหลังผสมติดเปนผลแลว
ดอกตัวเมียของแตงโม ที่ไดรับการผสมเกสรอยางสมบูรณก็จะเจริญเติบโตอยางสมํ่าเสมอติดตอ
กันไปวันตอวัน เมื่อผลแตงโมมีขนาดเทากับกะลามะพราว ควรเอาฟางรองใตผล เพื่อไมใหผิวผลสัมผัส
ดินโดยตรง และควรมีการกลับผลแตงเพื่อให้ถูกแสงแดดทั่วกันทั้งลูกและการกลับผลแตงยังจะทําใหแตงโมมีรสหวานมากขึ้นอีกด้วย
การเก็บผลแตงโม
แตงโมเปนพืชที่ผลแกแลวไมแสดงอาการวาสุกออกมาใหเห็นเหมือนผลมะเขือเทศ หรือ
พริก ซึ่งจะเปลี่ยนสีเปนสีแดง ฉะนั้น
การดูวาแตงโมแกเก็บไดหรือยัง จึงตองพิจารณาจาก
1. คาดคะเนการแกของผลแตงโมดวยการนับอายุผลหลังจากการผสมเกสร ซึ่งขึ้นอยูกับสายพันธุของแตงโม และอุณหภูมิ
ของอากาศด้วย
2. มือเกาะที่อยูใกลกับขั้วของผลเปลี่ยนเปนสีเหลืองและแหงเปนบางสวนจากปลาย
มาที่ส่วนโคน
3. วัดความแกออนของผลแตงโมไดจากการดีดฟงเสียง หรือตบผลเบาๆ ฟงเสียงดูถามีเสียง
ผสมกันระหวางเสียกังวานและเสียงทึบ แตงจะแกพอดี (แกประมาณ 75%) มีเนื้อเปนทรายถาดีดแลวเปนเสียง
กังวานใส แสดงวาแตงยังออนอยู ถาดีดแลวเสียงทึบเหมือนมีลมอยูขางใน แตงจะแกจัดเกินไปที่ชาว
บานเรียกวา “ไสลม” (แตวิธีนี้ใชไมไดกับผลแตงที่เปนโรคเถาตาย) ควรเก็บผลแตงในช่วงบายไมควรเก็บผล
ตอนเชาเพราะจะทําใหผลแตงแตกได
4. สังเกตนวลของผล ถาจางลงกวาปกติแสดงวาแตงเริ่มแก
โรคที่สําคัญของแตงโม
1. โรคเถาเหี่ยว (ที่เกิดจากเชื้อราฟวซาเรียม)
แตงโมที่เปนโรคนี้สีใบจะซีด ใบและเถาจะเหี่ยว
จริงบริเวณโคนเถาที่ใกลกับดิน จะแตกตามยาวและมีนํ้าเมือกซึมออกมา เมื่อผาไสกลางถาดูจะเห็นภาย
ในเปนสีนํ้าตาล โรคนี้จะระบาดมากในชวงแตงโมออกดอก การปลูกซํ้าที่เดิม โรคนี้จะระบาดรุนแรงมาก
สาเหตุมาจาก
1.1. เชื้อรานี้เจริญและทําลายแตงโมไดดีที่อุณหภูมิระหวาง 24-28 องศาเซลเซียส
1.2. ขณะแตงกําลังเจริญเติบโตมีฝนตกติดตอกันยาวนาน
1.3. ดินมีธาตุไนโตรเจนอยูสูง แตมีธาตุฟอสฟอรัส (P2O5) และโปแตสเซี่ยม (K2O) อยูตํ่า
1.4. ดินเปนกรดจัด
การปองกัน
1. อยาปลูกแตงโมซํ้าที่เดิม
2. เริ่มคลุกเมล็ดพันธุดวยสารเคมีไดเทนเอ็ม – 45 อัตรา 15 กรัม ตอเมล็ดพันธุ 1 กิโลกรัม
กอนนําไปปลูก
3. ใชปูนขาวใสดินเพื่อแกความเปนกรดของดิน ในอัตราไรละ 500 กิโลกรัม
4. ใชสารเคมีไดเทน ที่มีความเขมขน 1 : 5 ฉีดที่ ตนพืชจะชวยทําใหเชื้อโรคชะงักลง
5. สารเคมีกลุมพีซีเอ็นบีเชน เทอราคลอรในอัตรา 60 ซีซี. ผสมนํ้า 20 ลิตร ราดลงในหลุม
แตงโมที่เกิดโรคและบริเวณขางเคียงทุก 7 วัน
2. โรคเถาเหี่ยว (ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย)
ลักษณะที่มองเห็นในครั้งแรก คือ ใบในเถาจะเหี่ยว
ลงทีละใบ การเหี่ยวจะเหี่ยวจากปลายเถามาหาโคนเถาหนึ่ง เมื่อเหี่ยวมาถึงโคนเถาก็จะเหี่ยวพรอมกัน
หมดทั้งตน แตใบยังคงเขียวอยู และพืชตายในทันทีที่พืชเหี่ยวทั้งตนสาเหตุของการเหี่ยวก็คือเชื้อ
แบคทีเรียไปอุดทอสงนํ้าเลี้ยงในตนแตงโม ถาเอามีดเฉือนเถาตามยาวดูจะเห็นวากลางลําตนในเถาฉํ่านํ้ามากกวาปกติเชื้อแบคทีเรียนี้อาศัยอยูในตัวของแมลงเตาแตงตนแตงโมไดรับเชื้อโรคจากการกัดกินใบ
ของแมลงเตาแตงนี้ เมื่อเชื้อแบคทีเรียเขาสูตนแตงโมทางแผลที่แมลงเตากัดกิน ก็จะเพิ่มปริมาณขึ้น
อยางรวดเร็ว แลวก็กระจายตัวเขาสูทอนํ้าและอาหารของแตงโม เราอาจปองกันกันและรักษาไดโดยฉีด
สารเคมีเซวิน 85 ปองกันแมลงเตาแตงและใชยาปฏิชีวนะสเตรปโตมัยซิน เชน อะกริมัยซิน ฉีดพนทุก
สัปดาห ใชอัตราสวนผสมตามที่แจงไวในซองบรรจุสารเคมีที่จําหนาย เมื่อพบวาตนแตงโมบางสวนเริ่ม
เปนโรคนี้ สารเคมีนี้ชวยรักษาและปองกันไดแตมีขอเสียคือ เสื่อมคุณภาพเร็วจึงตองซื้อแตสารเคมีใหม
ใชเทานั้น ถาสารเคมีอะกริมัยซินเกาเกิน 1 ปขึ้นไป จะฉีดไมไดผล
3. โรครานํ้าคาง
ลักษณะที่มองเห็นได คือ เกิดจุดสีเหลืองบนหลังใบ และขยายตัวใหญขึ้น
จํานวนจุดสีเหลืองเพิ่มปริมาณมากขึ้น และใตใบตรงตําแหนงเดียวกัน จะมีกลุมของเชื้อราสีมวงอมเทา
เกาะกลุมอยู เชื้อโรคนี้เจริญไดอยางรวดเร็วเมื่ออากาศอุนและชุมชื้น เมื่อใบแกตายเชื้อก็จะไปทําลาย
ใบออนตอไป เมื่อใบแหงไปหมดแลว ผลที่เกิดขึ้นมาก็คือ แตงติดผลนอยคุณภาพผลแกก็ตํ่าดวย สปอร
ของเชื้อรานี้แพรระบาดไปโดยลมและโดยแมลงพวกเตาแตง สารเคมีที่ใชฉีดพนไดผลดีคือ แคปแทน ไซ
เน็บ มาเน็บ ชนิดใดชนิดหนึ่งอัตราผสมใช1 กรัม ผสมนํ้า 500 ซีซี. (หรือครึ่งลิตร) หรือ 35-40 กรัม
ผสมนํ้า 20 ลิตร (1 ปบ)
แมลงศัตรูที่สําคัญ
1. เพลี้ยไฟ เปนแมลงชนิดหนึ่งที่มีตัวขนาดเล็กมากตัวออนจะมีสีแสด ตัวแกจะเปนสีดํามีขนาด
เทาปลายเข็ม จะดูดนํ้าเลี้ยงที่ยอดออนของแตงโม และใตใบออนของแตงโม มีผลทําใหใบแตงโมไมขยาย
ยอดหดสั้นลง ปลองถี่ ยอดชูตั้งขึ้น ชาวบานเรียก
โรคนี้วา โรคยอดตั้ง บางแหงก็เรียก โรคไอโตง
เพลี้ยไฟ จะบินไปเปนฝูง มีลักษณะเล็กละเอียด
คลายฝุน สภาพฤดูแลงความชื้นในอากาศตํ่าลมจะ
ชวยพัดพาเพลี้ยใหเคลื่อนที่เขาทําลายพืชผลในไร
ไดรวดเร็วขึ้นในพืชผักที่ปลูกดวยกันเชน ฟกทอง
แตงโม แฟง ฟก ในไรของเกษตรกรถูกเพลี้ยไฟ
ทําลายเสียหายหนัก มีมะระพืชเดียวที่สามารถ
ตานทานเพลี้ยไฟได และเมื่อสวนใดสวนหนึ่งฉีด
พนยา เพลี้ยไฟจะหนีเขามายังสวนขางเคียงที่ไมไดฉีดสารเคมี การปองกันและกําจัดใชสารเคมีหลาย
ชนิด เชน แลนเนท ไรเนต เมซูโรล หรือ อาจปลูกพืชเปนกันชน เชน ปลูกมะระจีนลอมที่ไวสัก 2 ชั้น
แลวภายในจึงปลูกแตงโม เพราะมะระขึ้นคางจะชวยปะทะการแพรระบาดของเพลี้ยไฟใหลดลงได และ
มะระที่โดนเพลี้ยไฟเขาทําลายจะตานทานไดและเสียหายเพียงเล็กนอยเทานั้น
2. เตาแตง เปนแมลงปกแข็งชนิดหนึ่ง ที่ชอบกัดกินใบแตงขณะยังออนอยู ลักษณะตัวยาว
ประมาณ 1 เซนติเมตร ปกสีเหลืองปนสม จะกัดกินใบแตงขาดเปนวงๆ ตามปกติเตาแตงลงกินใบออน
ตนแตงโมหรือพืชพวกฟก แฟง แตงกวาอื่นๆ มักจะไมทําความเสียหายใหกับพืชมากนัก แตจะเปนพาหะ
นําเชื้อโรคเถาเหี่ยวของแตงโมซึ่งเกิดจากเชื้อแบคทีเรียมาสูแตงโมของเราจึงตองปองกันกําจัดโดยฉีดพนดวยสารเคมีเซวิน 85 ในอัตรา 20-30 กรัม ผสมนํ้า 20 ลิตร ฉีดในระยะทอดยอด ฉีดคลุมไวกอน
สัปดาหละครั้งโดยไมตองรอใหแมลงเตาแตงลงมากินเสียกอนแลวคอยฉีดในภายหลัง ซึ่งจะทําใหปอง
กันโรคเถาเหี่ยวของแตงโมไมทัน
3. แมลงวันแตง เขาทําลายตั้งแตระยะติดดอกถึงเก็บเกี่ยว ใชพอสซหรือ อโซดริน ฉีดพน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น